ตอนอายุ 14 ปี ความฝันของผมคือเป็นนักกีฬาเบสบอลของโรงเรียน แต่ปัญหาคือผมหนักแค่ 100 ปอนด์ (ประมาณ 45 กิโลกรัม)  และถึงแม้ว่าผมจะพยายามเพิ่มกล้ามเนื้อและพัฒนาทักษะต่างๆ ถึง 4 ปี แต่ดูเหมือนว่าหนทางนั้นก็อีกยาวไกล โชคดีที่โค้ชของผมรู้วิธีที่จะเพิ่มโอกาสให้ผมได้ในสิ่งที่ต้องการเร็วขึ้นด้วยการตั้ง Smart Goal

โค้ชพยายามคิดว่าเป้าหมายระยะยาวนั้นควรแยกย่อยออกเป็นเป้าหมายสั้นๆหลายๆอันแทน และโค้ชก็ตอกย้ำความคิดนั้นให้กับพวกเราทุกคน หลังจากนั้นโค้ชให้ทุกคนเขียนเป้าหมายการฝึกฝนไว้ในใจ แต่เขาจะไม่ยอมรับมัน จนกว่าพวกเราจะบอกได้ว่าเป้าหมายที่ชัดเจนของพวกเราคืออะไร และทำอย่างไรถึงจะไปบรรลุเป้าหมายนั้นได้

การตั้งเป้าหมายนั้นสำคัญกว่าการพัฒนาจุดแข็งของร่างกาย ในทุกปีผมตั้งเป้าหมาย และกำหนดเส้นทางในการไปสู่เป้าหมายอย่างชัดเจน และในที่สุด เมื่อผมอยู่ระดับมัธยมปลาย ผมก็ได้รับทุนนักกีฬาเบสบอล

ผมรู้สึกว่า Smart Goal  มันศักดิ์สิทธิ์มาก  ผมมั่นใจว่าที่ตัวเองสามารถเป็นนักเบสบอลของโรงเรียนได้ นั่นก็เพราะโค้ชของผมสอนให้ผมเซต Smart Goal คล้ายๆกับการที่นักการตลาดจะระบุตัวเลขลงในเป้าหมายของเขาอย่างชัดเจนเสมอ เพราะนั่นคือ Smart goal ของพวกเขานั่นเอง

รู้มั้ยว่าการเซต Smart Goal ไม่เพียงช่วยให้การเล่นเบสบอลของผมประสบความสำเร็จเท่านั้น แต่มันยังช่วยให้คุณเป็นนักการตลาดที่ดีได้ด้วย

Smart Goal คืออะไร

Smart Goal คือเป้าหมายที่เป็นรูปธรรม ที่คุณต้องพยายามไขว่คว้าและไปให้ถึงในช่วงระยะเวลาที่กำหนดไว้ และเป้าหมายหมายนั้นต้องร่างอย่างรอบคอบ และคุณต้องมุ่งมั่นที่จะทำมันให้สำเร็จ

Smart เป็นตัวย่อของคุณลักษณะพิเศษที่คุณจะต้องมีใน Smart Goal ของคุณ

S : Specific  หมายถึง Smart Goal ของคุณต้องมีความเฉพาะเจาะจง

M : Measurable หมายถึง Smart Goal นั้นต้องสามารถวัดผลได้

A: Attainable หมายถึง Smart Goal นั้นต้องอ้างอิงบนความเป็นจริงเพื่อให้สามารถบรรลุได้

R : Relevant หมายถึง Smart Goal นั้นต้องมีความเกี่ยวพันธ์ที่ดีกับตัวเราและองค์กร

T : Time bound หมายถึง Smart Goal นั้นต้องมีกรอบระยะเวลาที่แน่นอนและชัดเจน

Specific

คือ Smart Goal ต้องมีความเฉพาะเจาะจง  การที่คุณบอกว่ามีเป้าหมายจะทำงานให้ดีขึ้น นั่นไม่ใช่ Smart Goal เพราะมันไม่เฉพาะเจาะจง แต่คุณต้องบอกตัวเองว่า อะไรที่จะทำให้คุณทำงานได้ดีขึ้น และดีขึ้นแค่ไหน เท่าไหร่  การทำงานของนักการตลาดย่อมต้องเกี่ยวข้องกับ KPI ดังนั้นคุณควรจะเลือก KPI เฉพาะ ที่จะช่วยปรับปรุงงานของคุณได้ เช่น การวัดผลจากผู้มาเยือน ,ผู้นำ หรือ ลูกค้า

ตัวอย่างเช่น คุณมีเป้าหมายที่จะเพิ่ม Traffic ของ Blog ด้วย Email คุณจะต้องรู้ว่าใครที่เกี่ยวข้องกับขั้นตอนนี้และต้องปรับปรุงตรงส่วนไหน เพื่อให้คุณไปถึงเป้าหมาย

Measurable

Smart Goal ต้องสามารถวัดผลได้  โดยคุณต้องสามารถติดตามปริมาณความก้าวหน้าได้ การพูดเพียงว่าเพิ่มปริมาณ Traffic ไม่ได้เป็น Smart Goal เพราะไม่สามารถวัดผลได้

คุณต้องระบุว่าต้องเพิ่มจำนวน Email เท่าไหร่ เพื่อเพิ่ม Traffic คุณต้องรู้ปริมาณของเป้าหมายที่จะไปถึง หรือเปอร์เซ็นที่จะเพิ่มขึ้นของผู้มาเยือนหรือลูกค้า

ในขั้นตอนนี้ Smart goal จะเป็น ฉันต้องจะเพิ่ม Traffic ของ Blog จาก Email 25%  ต่อเดือน หมายถึงคุณรู้ว่าคุณจะเพิ่มอะไรและเท่าไหร่

Attainable

Smart Goal ต้องสามารถบรรลุได้ และหนักงานต้องสามารถทำให้สำเร็จได้ เป็นเป้าหมายที่เป็นไปได้จริง เช่นถ้าเดือนที่แล้วยอด Traffic ของคุณเพิ่ม 5% คุณควรตั้งเป้าไว้ที่ 8-10% ในเดือนนี้ หากตั้งเป้า 25% นั้นดูจะเกินจริงไป

มันจะอันตรายมากหากคุณตั้งค่า goal ของคุณโดยขาดการวิเคราะห์ด้วยมาตรฐานของบริษัท มันจะเหมือนการที่คุณกัดขนมเข้าปากเกินกว่าความสามารถในการเคี้ยวของตนเอง เพราะฉะนั้นอย่าลืมคำนึงถึงความเป็นไปได้ของ Smart Goal ของคุณด้วย เพื่อที่คุณจะไม่ล้มเหลวกับมัน

Relevant

Smart Goal ของคุณต้องเกี่ยวพันกับเป้าหมายธุรกิจของบริษัทคุณ ถ้าคุณตระหนักกับความจริงข้อนี้คุณจะสามารถตั้ง Smart Goal ที่เป็นประโยชน์กับบริษัท ไม่ใช่แค่ฝ่ายของคุณ ยกตัวอย่างแต่เดิมธุรกิจของคุณอาจอาศัยการรับส่งข้อมูลไปมาเพื่อสร้างรายได้ แต่ในปัจจุบัน Smart Goal จะกลายเป็น การตั้งเป้าที่จะเพิ่ม Traffic 8-10% ต่อเดือน ซึ่งการเพิ่มของ Traffic จะสอดคล้องกับการเพิ่มรายได้ให้ธุรกิจของคุณ

Time-bound

Smart Goal ต้องมีกรอบระยะเวลาที่ชัดเจน และต้องไปยาวจนเกินไป จึงควรต้องใส่ Deadline ลงในเป้าหมาย แต่ถึงอย่างนั้นกรอบเวลานั้นก็ต้องไม่สร้างความกดดันมากจนเกินไปด้วย ซึ่งจะเป็นผลดีในระยะยาว ยกตัวอย่างเช่น คุณลองกำหนดตัวเลือกแรกว่าจะเพิ่ม traffic ของ Blog เดือนละ 5% เพื่อนำไปสู่การเพิ่ม Traffic 30-35% ในครึ่งปี หรือกำหนดว่าจะเพิ่ม traffic 15% โดยปราศจากเดดไลน์ เพิ่ม Traffic 30-35% ในครึ่งปี หากคุณกำหนดตามตัวเลือกแรก แสดงว่าคุณเข้าใจ Smart Goal

หากคุณต้องการเข้าใจ Smart Goal มากขึ้น ลองดูตัวอย่างข้างล่างนี้

  1. Blog Traffic Goal

Specific : ฉันต้องการเพิ่ม Traffic ของ Blog  ด้วยการเพิ่มความถี่ในการเผยแพร่จาก 5 ครั้ง เป็น 8 ครั้งต่อสัปดาห์ นักเขียนจะได้รับมอบหมายงานเพิ่มจากสัปดาห์ละ 2 บทความเป็น 3 บทความ และบรรณาธิการจะได้รับมอบหมายงานเพิ่มจากสัปดาห์ละ 1 บทความเป็น 2 บทความ

Measurable : เพิ่มขึ้น 8%

Attainable : เมื่อเดือนที่แล้ว  Traffic เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเพิ่มความถี่การเผยแพร่จาก 3 เป็น 5 ครั้งต่อสัปดาห์

Relevant : การเพิ่ม Traffic ของ Blog จะเพิ่มการรับรู้ถึงแบรนด์และสร้างโอกาสในการขายเพิ่มขึ้นทำให้มีโอกาสปิดการขายมากขึ้น

Time bound :  สิ้นเดือนนี้

Smart Goal : Blog ของเราจะเพิ่มปริมาณ Traffic ให้ได้ 8% ภายในสิ้นเดือนนี้ โดยเพิ่มความถี่การเผยแพร่จาก 5 โพสต์เป็น 8 โพสต์ต่อสัปดาห์

  1. Facebook Video Views Goal

Specific :  ฉันต้องการเพิ่มจำนวนคนดู Native video ด้วยการมิกซ์เนื้อหาวิดิโอจาก 8 หัวข้อ ให้เหลือเพียง 5 หัวข้อ

Measurable : เป้าหมายคือ 25%

Attainable :  เมื่อเราลดการมิกซ์เนื้อหาวิดีโอบน Facebook จาก 10 หัวข้อเป็น 8 หัวข้อยอดนิยมเมื่อหกเดือนที่ผ่านมา จำนวนการดูเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 20%

Relevant : การเพิ่มการดูเฉลี่ยต่อ Native video บน Facebook จะเพิ่มการติดตามสื่อสังคมออนไลน์และการรับรู้แบรนด์ให้เข้าถึงลูกค้าเป้าหมายมากขึ้นด้วยเนื้อหาวิดีโอของเรา

Time bound :  ภายใน 6 เดือน

Smart Goal : เพิ่มการดู Native Video เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 25% โดยการมิกซ์เนื้อหาจาก 8 หัวข้อเป็น 5 หัวข้อยอดนิยมภายใน 6 เดือน

  1. Email Subscription Goal

Specific : ฉันต้องการเพิ่มจำนวนสมาชิก email Blog  โดยการเพิ่มงบประมาณการโฆษณา Facebook ในโพสต์บล็อกซึ่งเคยได้รับสมาชิกอีเมล์มากที่สุดในอดีต

Measurable : ต้องการให้เพิ่มขึ้น 50%

Attainable : เมื่อสามเดือนที่ผ่านมาที่ใช้กลยุทธ์นี้สามารถเพิ่มจำนวนสมาชิกได้ 40%

Relevant :  การเพิ่มจำนวนสมาชิกนี้จะเพิ่มการรับรู้ของแบรนด์และเพิ่มโอกาสทางการขายให้กับทีมขาย

Time bound :   3 เดือน

Smart Goal : เพิ่มจำนวนสมาชิก Email Blog 50% ด้วยการเพิ่มงบประมาณการโฆษณา Facebook ในโพสต์บล็อกซึ่งเคยได้รับสมาชิกอีเมล์มากที่สุดในอดีต ภายใน 3 เดือน

  1. Webinar Sign-up Goal

Specific : ฉันต้องการเพิ่มจำนวนผู้สมัครเข้าร่วมสัมมนา Facebook  Messenger ด้วยการโปรโมทผ่านสื่อโซเชียล ,E-Mail, Blog และ Facebook Messenger

Measurable : ต้องการให้เพิ่มขึ้น 15%

Attainable :  หลังการส่งสารผ่าน สื่อโซเชียล ,E-Mail, Blog  ครั้งล่าสุด มีผู้สมัครเพิ่มขึ้น 10%

Relevant : เมื่อมีผู้สมัครมากขึ้น ก็จะมีโอกาสในการขายมากขึ้น

Time bound :  ภายใน 10 เมษายน ซึ่งเป็นวันสัมมนา

Smart Goal : ต้องการเพิ่มจำนวนผู้สมัครเข้าร่วมสัมมนา Facebook  Messenger อีก 15%  ด้วยการโปรโมทผ่านสื่อโซเชียล ,E-Mail, Blog และ Facebook Messenger ภายในวันที่ 10 เมษายน ซึ่งเป็นวันสัมมนา

  1. Landing Page Performance Goal

Specific : ต้องการสร้างโอกาสการขายด้วยการเพิ่มการเข้าชมหน้า Landing Page ด้วยการเปลี่ยนรูปแบบหน้า Landing Page จากหนึ่งคอลัมภ์เป็นสองคอลัมภ์

Measurable : เพิ่มโอกาสการขาย 30%

Attainable : จากการทดสอบใช้หน้า Landing Page แบบหนึ่งคอลัมภ์และสองคอลัมภ์ พบว่าแบบสองคอลัมภ์ดีกว่าหนึ่งคอลัมภ์ 27%

Relevant : หากสามารถให้ลูกค้าเข้าหน้า Landing Page มากขึ้น จะช่วยเพิ่มยอดขาย และฝ่ายขายสามารถปิดการขายได้มากขึ้น

Time bound :  1 ปีนับจากนี้

Smart Goal :  ต้องการสร้างโอกาสการขายเพิ่มขึ้น 30% จากหน้า Landing Page ภายใน 1 ปี ด้วยการเปลี่ยนรูปแบบหน้า Landing Page จากหนึ่งคอลัมภ์เป็นสองคอลัมภ์

  1. Link-Building Strategy Goal

Specific : ต้องการเพิ่ม organic traffic ให้กับ Website ด้วยกลยุทธ์การใช้ link-building เพื่อให้ผู้อื่นสามารถลิงค์เข้ามายัง Website ของเรา เพื่อเพิ่มอันดับในการค้นหาของ Google และเพื่อให้สามารถสร้าง organic traffic ได้ต่อ

Measurable : 40 backlinks ไปยัง Company Homepage

Attainable :  ตามการวิเคราะห์ SEO ในปัจจุบันมีลิงก์คุณภาพต่ำ 500 ลิงก์ที่นำไปสู่โฮมเพจของบริษัทจากที่ต่างๆบนอินเทอร์เน็ต และทุกเดือนมีการสร้าง Inbound Link จำนวน 10 Link โดยไม่มีการเผยแพร่ใดใด จึงเป็นไปได้ที่จะเพิ่ม inbound links 40 link จาก link-building campaign จึงมีความเป็นไปได้

Relevant : Organic traffic เป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญ ซึ่ง Backlink เป็นสื่อกลางที่จะทำให้เกิด Organic  Traffic มายัง Website

Time bound :  4 เดือนนับจากตอนนี้

Smart Goal : สร้าง 40 Backlink เพื่อนำไปสู่ ​​www.ourcompany.com  ภายในสี่เดือน เพื่อเพิ่ม organic traffic ให้กับ Website